ตำนานพระโคอุสุภราช เวียงเจดีย์ห้าหลัง
นะโมตัสสะ โสทุสสนะ ปางเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระสมณโคดม"(องค์ปัจจุบัน) ยังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เป็นเวลา ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
พระองค์เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เพื่อสร้างบารมีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติต่างๆ ของพระองค์ก็ล้วนแล้วแต่บำเพ็ญเพื่อตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐหรืออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อพาสรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งดำเนินรอยตามพระองค์ ให้พ้นจากความทุกข์ทั้งมวล โดยไม่กลับมาเกิดอีกนั้นก็คือพระนิพพาน
ณ สมัยก่อนพุทธกาล เมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นวัวกระทิงป่า มีพระนามว่า "อุศุภราช" พระโคมารดาได้พาฝูงวัวกระทิงป่าอพยพจากอโยธยา(อยุธยา) เพื่อท่องเที่ยวหากินไปในที่ต่าง ๆ ขณะนั้นพระโคมารดากำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ เมื่อได้เดินทางลุมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เหมาะที่จะเสาะหาหญ้ากินเพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าอ่อน และมีลำห้วยสำหรับดื่มกินน้ำ จึงพาฝูงมาอาศัยอยู่ ณ บรอเวณนั้น (ปัจจุบันคือ บริเวณพระธาตุจอมสรรค์หรือเหมืองลานนาลิกไนต์ ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้ไปสร้างพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เพื่อที่จะให้เป็นสถานที่ที่ควรแก่การสักการะบูชา)
พระโคมารดาได้อาศัยหญ้าและน้ำบริเวณนี้เลี้ยงชีวิตเป็นเวลานานพอสมควร จนครรภ์แก่เดินขึ้นลงหุบเขาด้วยความลำบาก จึงมาพิจารณาดูว่าควรจะพาฝูงวัวกระทิงทั้งหมดไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะครรภ์แก่ใกล้จะให้กำเนิดพระโคโพธิสัตว์ จึงได้พาบริวารจำนวนห้าร้อยตัวลงจากดอยจอมสวรรค์ ท่องเที่ยวหาบริเวณที่เหมาะสมที่จะให้กำเนิดพระโคน้อย จนมาพบสถานที่ที่ถูกใจ มีหมู่พฤกษาหอมตลบอบอวล ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่น ลำห้วยลำธารน้ำใสสะอาด มีหญ้าอ่อนขึ้นอยู่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ถูกใจของพระโคมารดา จึงได้หยุดพักอาศัย ณ บริเวณนี้ด้วยความสุขสบายทั้งกายและใจ (บริเวณนี้คือ ดอยอุศุภราช หรือบริเวณวัดพระธาตุห้าดวงปัจจุบัน)
พระโคมารดาและพระโคอุสุภราช
จนประสูติพระโคโพธิสัตว์ "อุศุภราช" ณ บริเวณใต้ต้นดอกบุนนาคพระโคน้อยเมื่อประสูติจากพระครรภ์มารดา ก็มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง ผิดลูกวัวกระทิงทั่วไป พระโคมารดาก็ได้เลี้ยงดูฟูมฟักพระโคน้อยจนเติบใหญ่ ท่องเที่ยวหากินพร้อมบริวารอยู่ ณ บริเวณดอยอุศุภราชนี้อย่างสงบสุข เมื่อพระโคมารดาได้เฒ่าชราลงพระโคโพธิสัตว์ ก็ได้เลี้ยงดูพระโคมารดาด้วยความกตัญญู จนกระทั่งได้พาพระโคมารดาไปท่องเที่ยวหากินไกลออกไปยังที่ใหม่ ซึ่งมีน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์จนพระโคมารดาได้มาปลงชีวิตสังขารลง
ณ สถานที่นี้ จึงได้ชื่อว่า "หนองวัวเฒ่า" (ปัจจุบันคือบริเวณที่พระเดชพระคุณหลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนาหรือหลวงปู่ครูบาวงศ์แห่งวัดพระบาทห้วยต้ม ท่านได้สร้างเจดีย์ชเวดากองจำลองขึ้น เพื่อเป็นการประกาศความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการดำรงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงจนครบ ๕,000 ปี)
เมื่อพระโคมารดาได้ละสังขารไปแล้วพระโคอุศุภราชราชา ก็พาบริวารท่องเที่ยวหากินไปมาระหว่างดอยอุศุภราชและสถานที่ที่พระโคมารดาได้ละสังขาร จรแก่ชราจึงได้ละสังขารตามพระโคมารดาไป ณ หนองวัวเฒ่านั้นเอง (หลวงปู่พระครูบาวงศ์ ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อพระโคอุศุภราชได้เฒ่าชราลงเดินไม่ไหว ได้เกิดอาการคันที่หัว ก็เอาหัวไปสีหรือกับต้นไม้เพื่อให้หายคัน ต่อมาเมื่อพระโคอุศุภราชได้ละสังขารไปแล้ว ต้นไม้ที่พระโคได้เอาหัวไปถูก็เกิดมีกิ่งลักษณะคล้ายเขาโค หลวงปู่จึงได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ท่านบอกว่าเป็นเขาของพระโคอุศุภราช)
พระโพธิสัตว์ได้เวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมี รวมเวลา ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ซึ่งรวมพระชาติที่พระองค์เคยเกิดเป็นพระโคอุศุภราชอยู่ด้วย พระองค์ก็มาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้เห็นความทุกข์ของคนคือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระองค์จึงเกิดความสังเวชและคิดหาทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกบวชและได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า "พระสมณโคดม" เมื่อคืนวันเพ็ญเดือน ๓ ที่ใต้ต้นศรีโพธิ์
เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์จึงเสด็จออกโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ เพื่อให้แสงสว่างแก่สัตว์โลก พระองค์ได้เสด็จไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ควรจะเสด็จไป ณ สถานที่ใด เวลาใดและทรงทราบว่า เมื่อทรงเสด็จไปแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อพระองค์ทรงทราบชัดจึงเสด็จไป ณ ดอยอุศุภราชนี้ก็เป็นสถานที่หนึ่ง ที่พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระโคอุศุภารช ณ ดอยอุศุภราช จึงได้ทรงพิจารณาและเสด็จมาพร้อมพระอานนท์และบรรดาพุทธสาวกอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง ณ ดอยอุศุภราชเป็นเวลาสว่างพอดี ดอยอุศุภราชนั้นจึงมีเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ดอยจอมแจ้ง" (คำว่า สว่าง ภาษาเหนือเรียกว่า แจ้ง)
พระองค์ก็ทรงประทับนั่งยังใต้ต้นดอกบุนนาคต้นเดิม ต้นที่พระโคมารดาได้ให้กำเนิดพระโคน้อย (หลวงปู่พระครูบาวงศ์(ท่านยืนยันว่าเป็นต้นเดิมและเวลานั้นดอยอุศุภราชเป็นดอกบุนนาค) พญาลั๊วะหรือเจ้าเมืองลั๊วะ เมื่อรู้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ซึ่งสมัยนั้นดอยอุศุภราชเป็นที่อยู่ของชาวลั๊วะ พญาลั๊วะและชาวบ้านลั๊วะก็พากันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำเอาโภชนาหารมาถวายพร้อมผลไม้และน้ำดื่ม พระองค์เมื่อทรงรับโภชนาหารพร้อมผลไม้และน้ำดื่มแล้ว ก็ทรงเล่าให้ชาวลั๊วะฟังถึงความเป็นมาแต่เดิม
ในสมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโคอุศุภราช ณ สถานที่แห่งนี้ จนละชีวิตสังขารลง ณ หนองวัวเฒ่า เมื่อทรงเล่าจบพญาลั๊วะจึงทูลขอสิ่งสักการะบูชาเพื่อจะได้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธองค์ และผู้คนจะได้มากราบสักการะบูชาสถานที่แห่งนี้ เมื่อพระองค์ฉันเสร็จจึงมีดำรัสให้พญาลั๊วะยกขันน้ำทองล้างพระหัตถ์ เมื่อน้ำที่พญาลั๊วะยกล้างพระหัตถ์ไหลผ่านพระหัตถ์ลงมาถึงปลายนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์
น้ำที่ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งห้า ก็กลับกลายเป็นดวงแก้วห้าดวงปรากฏแสงส่องสว่างไปทั่วดวงแก้วทั้งห้าก็คือ "พระเมโตธาตุ" หรือ น้ำไคลมือ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงประทานให้กับพญาลั๊วะไว้ เพื่อเป็นเครื่องสักการะและเพื่อระลึกถึงพระองค์ ดวงแก้วทั้งห้าลอยให้เห็นเป็นอัศจรรย์พระอินทร์จึงเนรมิตโกฎิทองคำมารองรับ และนำไปฝังไว้ในดินลึก ๖๐ ศอก แต่งยนต์ฟันไว้ทั้ง ๔ ทิศ (คำว่า ยนต์ฟัน พระเดชพระคุณหลวงปู่พระครูบาวงศ์ท่านบอกว่า หมายถึง ค่ายกลที่ทำขึ้นเพื่อรักษาพระธาตุ)
พญาลั๊วะจึงได้นำเอาดินและก้อนหินก่อเป็นกองสูงขึ้น เพื่อให้รู้ว่ามีของวิเศษฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และนำเอาดอกไม้มากราบไหว้สักการะบูชาอยู่เป็นนิจ และพระองค์ได้ทรงกล่าวทำนายไว้ว่าต่อไปในภายหน้าลูกศิษย์แห่งพระองค์ จะเป็นผู้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ให้เจริญรุ่งเรืองในภายหน้า
จวบจนลุเข้าถึงสมัยพระนางเจ้าจามเทวี เป็นกษัตริย์ครองเมืองหริภุญชัย ได้รับข่าวลือจากราษฏรเมืองลี้ว่า มีดวงแก้วห้าดวงปรากฏลอยให้ราษฎรได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จึงได้เสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง และเมื่อมาถึงยังดอยอุศุภราชแล้ว เวลากลางคืนท่านจึงได้เห็นแสงสว่างจากดวงแก้วทั้งห้าดวง ปรากฎลอยอยู่บนกองดินที่ชาวลั๊วะได้ทำไว้ พอรุ่งเช้าจึงได้เสด็จไปตรวจดูด้วยพระองค์เอง เมื่อไปถึงสถานที่เห็นดวงแก้วปรากฏก็พบกองดินทั้ง ๕ กอง ท่านจึงได้สอบถามพญาลั๊วะถึงประวัติความเป็นมาของกองดินทั้ง ๕ กอง เมื่อทรงทราบแล้วท่านก็เกิดศรัทธาจึงสร้างพระธาตุเจดีย์ครอบกองดินทั้ง ๕ กองไว้
เพื่อให้ราษฎรทราบว่ามีพระเมโตธาตุอยู่ ณ ดอยอุศุภราชแห่งนี้ และจะได้มาสักการะบูชาพระเมโตธาตุ ณ ที่นี้ด้วย เมื่อสร้างเสร็จก็ได้ทำการสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน เมื่อทำการสมโภชเสร็จแล้วท่านก็เสด็จกลับเมืองหริภุญชัย เมื่อถึงเวลาประเพณีสรงน้ำพระธาตุทั้ง ๕ องค์พระนางจามเทวีท่านจะเสด็จมาสรงน้ำองค์พระธาตุทุกปีและได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนา ณ วัดพระธาตุห้าดาวแห่งนี้ด้วย (เมื่อท่านแม่เจ้าจามเทวีได้สร้างพระธาตุเสร็จ หลังจากนั้นมาไม่นานท่านก็ได้สร้างพระวิหาร ณ วัดพระธาตุ ๕ ดวงแห่งนี้อีกด้วย
กาลเวลาผ่านพ้นไป พระธาตุทั้งห้าองค์ก็ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา เพราะขาดผู้ดูแลรักษา จนถึงสมัยต่อมาระหว่างปี พ.ศ. ๕๐๐-๗๐๐ ราษฎรในแคว้นโยนกถูกจีนฮ่อแห่งแคว้นยูนานกดขี่ข่มเหง พระนางจามรีเทวีซึ่งเป็นธิดาของเจ้าผู้ครองเมืองหลวงพระบาง ถูกพวกฮ่อตีเมืองแตก ล่าถอยกลับมาหลบภัยมาตั้งบ้านเมืองใหม่ โดยเสี่ยงสัจจะอธิษฐานให้ช้าง พลายสุวรรณหัตถี นำทางมาหาที่ตั้งเมืองใหม่
พญาช้างพาพระนางจากเมืองฝางสู่ จัมปิระนคร (เชียงใหม่) ไปทาง อ.จอมทองล่องไปทางดอยหล่อ ข้ามแม่น้ำแม่ลี้มาทาง อ.ทุ่งหัวช้าง จนถึงดอยอุศุภราช พาช้างก็ได้พาพระนางจามรีมายังสถานที่ซึ่งมีก้อนหินใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง (ไม่ทราบได้ว่าก้อนหินนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ปัจจุบันคือบริเวณวัดพระธาตุดวงเดียว) พญาช้างได้ทำกิริยาอาการกับก้อนหินใหญ่นี้ ๕ อย่างคือ
๑ คู้แข้งทำท่าไหว้
๒ ชูงวงเสมือนโปรยข้าวตอก
๓ แผดเสียงสีหนาท ประหนึ่งแสดงความยินดี
๔ ก้มหัวน้อมลงดินแสดงอาการสักการะ
๕ ลุกขึ้นเดินไปโดยรอบก้อนหินนี้ ๓ รอบ เสมือนเป็นการประทักษิณ
เมื่อพญาช้างได้แสดงกิริยาอาการทั้ง ๕ อย่าง เพื่อเป็นการสักการะแล้วพญาช้างจึงได้เดินไปรอบๆ บริเวณสถานที่นั้น พระนางจามรีเทวีจึงให้บรรดาเสนาอำมาตย์รวมทั้งข้าราชบริพารตามพญาช้างไป เพื่อกำหนดเขตการสร้างเมือง เมื่อพญาช้างเดินไปเพื่อกำหนดเขตการสร้างเมืองแล้ว พญาช้างกได้แผดเสียงสีหนาทก้องขึ้น และวิ่งเตลิดมาทางพระเจดีย์ทั้ง ๕ องค์ และมาขาดใจตาย ณ บริเวณด้านข้างพระวิหารวัดพระธาตุห้าดวงด้านทิศใต้ปัจจุบัน
เมื่อพญาช้างเสียชีวิตลงพระนางจามรีเศร้าเสียใจ จึงได้ทำพิธีปลงศพพญาช้าง เมื่อเสร็จแล้วพระนางจึงได้เริ่มก่อสร้างบ้านเมือง ณ บริเวณวัดพระธาตุดวงเดียวปัจจุบัน พระนางได้ให้บริวารแผ้วถางบริเวณ ที่ได้กำหนดเขตไว้ให้สะอาดและขุดดินทำคูถึง ๓ ชั้น เอาไม้ไผ่มาปลูกเป็นรั้ว กั้นเขตด้วยเขื่อนดิน ทำคันขังน้ำไว้เป็นสระใหญ่ (ปัจจุบันยังคงสภาพให้เห็นอยู่บ้าง) ด้านใต้ทำสระยาวลงไปถึงห้วยแม่แต๊ะ ทำประตูไว้สองประตูเมือง และทำป้อมยามรักษาเวียงไว้ด้วย
ขณะที่พระนางได้ทำการสร้างบ้านเมือนาง พระนางได้สร้างพระธาตุเจดีย์ครอบก้อนหินใหญ่พร้อมกับสร้างวิหารไว้ในเวียงวังของพระนาง (วัดพระธาตุดวงเดียว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดพระธาตุกลางเวียง) และบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุห้าดวง เพราะเมืองฉะนั้นลี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เวียงเจดีย์ห้าหลัง บ้านเมืองอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ตั้งแต่สมัยพระนางจามรี มาจนถึงสมัยเจ้านิ้วมืองามครอบครองปรากฏว่าเวียงเจดีย์ ๕ หลังเจริญรุ่งโรจน์เป็นยิ่งนัก จนมีกิตติศัพท์ลือเลื่องไปทั่วสารทิศ และกิตติศัพท์ได้เป็นที่ร่ำลือไปเข้าพระกรรณของพระเจ้ากรุงสุโขทัย ปรากฏว่าต่อมาพระเจ้ากรุงสุโขทัยได้ยกกองทัพมาประชิดเวียงเจดีย์ ๕ หลังถึงสามครั้ง แต่สองครั้งแรกไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถจะเข้าป่าไม้ไผ่ซึ่งเป็นรั้วเวียงเจดีย์ไปได้ ในครั้งที่สามจึงได้ใช้กุศโลบาย โดยใช้เงินเป็นลูกอาวุธยิงเข้าป่าไม้ไผ่ จนเป็นที่พอใจแล้วก็ถอยทัพล่ากลับไป
พอกองทัพสุโขทัยล่าถอยกลับไปแล้วราษฎรแห่งเวียงเจดีย์ ๕ หลัง ก็ออกตรวจดูสถานที่ที่กองทัพสุโขทัยยิงก็ปรากฏว่าเก็บได้แท่งเงินหลายแท่ง จึงชวนกันแสวงหาต่อไป จนกระทั่งเห็นแท่งเงินอยู่ในป่าไผ่มากมาย จึงพากันฟันไม้ไผ่เพื่อเอาแท่งเงิน พอไม้ไผ่อันเป็นรั้วของเวียงถูกฟันและแห้งดีแล้ว จารบุรุษแห่งสุโขทัยก็ส่งข่าวให้กองทัพสุโขทัยทราบ กองทัพสุโขทัยก็ยกมาล้อมเวียงเจดีย์ ๕ หลัง
แม่ทัพนายกองและทหารแห่งสุโขทัย ก็ระดมยิงเวียงเจดีย์ ๕ หลัง และให้เผาไม้ไผ่อย่างไร่ความปราณี บ้านเรือนราษฎรถูกไฟไหม้วอดวายไปตามๆกัน และข้าศึกได้ยิงเจ้านิ้วมืองามถูกที่นิ้วมือและแห่งอื่นจนถึงแก่พิราลัย เวียงเจดีย์ห้าหลังก็ระส่ำระสายตกอยู่ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด ราษฎรทั้งหลายก็ถูกวาดต้อนไปสู่สุโขทัย เวียงเจดีย์ห้าหลังก็อยู่ในสภาพรกร้างว่างเปล่าอีกวาระหนึ่ง
พอถึงสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์เม็งราย ได้อาราธนาพระมหารัตนรังสี แห่งสำนักวัดสวนดอกเชียงใหม่ มาทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ซึ่งวัดพระธาตุห้าดวงลุถึงสมัยพระเมืองแก้ว ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์เม็งราย ได้สร้างบูรณะปฏิสังขรณ์บ้านเมืองที่ล้นละลายหายสูญ ตลอดถึงเมืองลี้หรือเวียงเจดีย์ห้าหลัง ให้กลับฟื้นคืนสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุดอีกวาระหนึ่ง
เมืองลี้หรือเวียงเจดีย์ห้าหลังในรัชกาลดังกล่าวร่มเย็นเป็นสุขเกษมยิ่งนัก วัดวาศาสนาได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์วัฒนาถาวรเป็นยิ่งนัก และได้จัดให้มีประเพณีสรงน้ำพระธาตุเวียงเจดีย์ห้าหลัง(พระธาตุห้าดวง)ในวันเดือน ๘ เหนือขึ้น ๗ ค่ำ เป็นประจำทุกปี(ปัจจุบันกำหนดเอาวันที่ ๒๐ เมษายนของทุกปี เป็นวันประเพณีสวรน้ำพระธาตุห้าดวง)
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๗๒-๒๒๗๕ บ้านเมืองต่างๆในแคว้นลานนาไทย เกิดจลาจลวุ่นวายขึ้น หัวเมืองต่างๆในลานา เช่น เชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน ต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระ ไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเช่นกาลก่อน ต่อมาจึงได้ตกอยู่ในเอกอำนาจของพม่าเกือบหมดสิ้น เมื่อคราวที่พม่าครองลานนาไทย พม่าได้กระทำทารุณกรรมต่อชาวเมืองเป็นยิ่งนัก ไม่ให้สิทธิเสรีในการทำบุญเลย วัดวาศาสนาจึงเสื่อมลงอีกวาระหนึ่ง เพราะศรัทธาสาธุชนไม่มีเสรีภาพและหมดโอกาสได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์
ต่อมาอ้ายทิพช้าง ให้ทำการกู้อิสระภาพจากพม่าคืนมาได้ จึงได้ทำการกวาดล้างพม่า ให้ออกไปจากผืนแผ่นดินลานนาจนหมดสิ้นอิสระภาพ เสรีภาพและสันติสุขได้กลับคืนมาสู่ลานนาไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่ออ้ายทิพช้างกำจัดศัตรูหรือเสี้ยนหนามของแผ่นดินจนราบคาบแล้วคนทั้งปวงก็เห็นว่าอ้ายทิพช้างมีความกล้าหาญชาญชัย สามารถขับไล่พวกข้าศึกให้ออกจากลานนาไทยได้ ต่างก็พร้อมใจกันอัญเชิญทิพช้างให้เป็นผู้ปกครองลานนาไทย คราวนั้นบ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขอ้ายทิพช้างก็ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์บ้านเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองเช่นกาลก่อน และได้มาบูรณะเมืองลำพูนด้วย
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔-๒๓๖๘ เจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้นเป็นผู้ครองนครลำพูน ท่านได้ทำการบูรณะเมืองลำพูนเป็นอย่างดี ตามข้อความในพงศาวดารลี้ ฉบับพื้นเมืองอักษรลานนาจารึกลงใบลานว่า เจ้าหลวงเศรษฐี
หลังจากนั้นก็ได้มีพระครูบา ๖ รูป ได้มาปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนาและดูแลรักษา รวมถึงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระธาตุห้าดวง แต่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาและ พ.ศ.ของครูบาแต่ละรูปได้ พระครูบาทั้ง ๖รูป มีรายนามดังนี้
๑. ครูบากิตติ
๒. ครูบามหาสมณะ
๓. ครูบามหามังคลาจารย์
๔. ครูบามหาสวามี
๕. ครูบามหาเตจา
๖. ครูบาจะวรรณะ ปัญญา
ครูบาทั้ง ๖ ครูบานี้ หลวงปู่พระครูบาวงศ์ท่านได้สร้างพระรูปเหมือนทั้ง ๖ ครูบา ประดิษฐานไว้ในวิหาร ๙ ครูบา ซึ่งอยู่ภายในวัดพระธาตุห้าดวงด้วย ที่ท่านเรียกวิหาร ๙ ครูบาเพราะยังมีพระครูบาอีก ๓ รูปที่ยังไม่ได้กล่าวถึง อันมี
๗ ครูบาศรีวิชัย
๘. ครูบาอภิชัยขาวปี
๙. ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
ซึ่งครูบาทั้ง ๓ รูปนี้ หลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านได้ปั้นพระรูปเหมือนประดิษฐานไว้ในวิหาร ๙ ครูบาด้วย ในวิหารจึงมีรูปเหมือนครูบาทั้งหมด ๙ รูป ท่านจึงเรียกวิหารนี้ว่า วิหาร ๙ ครูบา
วิหารเก้าครูบา
ครูบากิตติ
ครูบามหามังคลาจารย์
ครูบามหาสวามี
ครูบามหาเตจา
ครูบาจะวรรณ ปัญญา
จนกระทั้งถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้มาบูรณะพระธาตุทั้ง ๕ องค์จนสำเร็จ แล้วได้ทำการฉลองสมโภชองค์พระธาตุ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้วท่านพระครูบาศรีวิชัยจึงได้เดินทางกลับวัดบ้านปาง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านพระครูบาศรีวิชัยได้เดินทางมาบูรณะพระธาตุดวงเดียว ซึ่งสมัยนั้นสภาพของพระธาตุดวงเดียวเป็นป่าใหญ่ ซึ่งครูบาศรีวิชัยและลูกศิษย์ไม่สามารถตัดต้นไม้ใหญ่ได้เพราะผีดุ
พระครูบาศรีวิชัยจึงต้องเรียกครูบาอภิชัยขาวปีมาปราบผี เพื่อที่จะได้ทำการตัดต้นไม้เพื่อบูรณะพระธาตุดวงเดียว และยังได้ทำการบูรณะพระวิหารด้วยแต่ไม่สำเร็จเมื่อทำการบูรณะพระธาตุดวงเดียวเสร็จ จึงได้ทำการฉลองและยกฉัตรองค์พระธาตุ โดยใช้เวลาสร้างองค์พระธาตุและฉลองรวมเวลา ๑๕ วัน(ขณะยกยอดฉัตร หลวงปู่พระครูบาวงศ์ท่านได้เมตตาบอกว่า ท่านได้มาร่วมยกยอดฉัตรและฉลองพระธาตุด้วย) เมื่อทำการฉลองพระธาตุเสร็จ ท่านครูบาศรีวิชัยก็เดินทางไปรับทานกุฏิที่วัดพระบาทตาเมาะต่อ วัดพระธาตุห้าดวงและวัดพระธาตุดวงเดียวก็ร้างอีก
ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๑ นายสนิท จิตวงศ์พันธ์ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอลี้ มีใจศรัทธาที่จะบูรณะวัดพระธาตุห้าดวง จึงได้นำศรัทธาประชาชนมาช่วยแผ้วถาง และได้นิมนต์หลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนาและครูบาขาวปี มาทำการบูรณะวัดพระธาตุห้าดวงอีกครั้ง จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๔ หลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ท่านจึงได้มาจำพรรษา ณ วัดพระธาตุห้าดวง ๑ พรรษาโดยท่านเดินทางมาจากวัดห้วยน้ำอุ่น อ.ดอยเต่า และครูบาขาวปีท่านได้มาจำพรรษา ณ วัดพระธาตุดวงเดียว ๑ พรรษา
เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนาจึงได้เดินทางไปวัดพระบาทห้วยต้ม และอยู่จำพรรษาที่วัดพระบาทห้วยต้มจนถึงปัจจุบัน ส่วนครูบาขาวปีได้ไปวัดพระบาทผาหนาม และได้อยู่พรรษาที่วัดพระบาทผาหนามจนมรณภาพ วัดพระธาตุห้าดวงก็ขาดพระภิกษุสงฆ์ ที่จะมาดูแลและทำการบูรณะวัดทำให้วัดพระธาตุห้าดวงต้องร้างอีกวาระหนึ่ง
ต่อมาได้มีพระอธิการนุช ธมมวโร ได้มาประจำอยู่ ณ วัดพระธาตุห้าดวงแห่งนี้ ทางคณะสงฆ์จึงได้พิจารณาได้ทำการขออนุญาตยกวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศยกฐานะวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ ชาวบ้านเรียกว่า วัดดอยเวียง
ปัจจุบันวัดพระธาตุห้าดวง ซึ่งแต่ก่อนมีสภาพที่เสื่อมโทรมเนื่องจากขาดการดูแล ขาดผู้ที่มีจิตศรัทธามาช่วยทนุบำรุงอุปถัมภ์ บัดนี้วัดพระธาตุห้าดวงได้รับการบูรณะและเริ่มทำการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ทำให้สภาพของวัดได้กลับฟื้นคืนมาเป็นสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ดั่งที่ท่านทั้งหลายได้เห็นประจักษ์แก่สายตาของท่านว่าเวลานี้ ก็ด้วยความเมตตาปราณี อย่างหาที่สุดประมาณมิได้จากพระเดชพระคุณหลวงปู่พระครูบาชัยวงศาพัฒนา ที่ท่านได้เมตตาดูแลอุปถัมภ์วัดพระธาตุห้าดวงแห่งนี้
พร้อมไปด้วยคณะศิษย์ของท่านและคณะศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงที่ได้ดำเนินรอยตามพระเดชพระคุณทั้งสอง ที่พระคุณท่านได้อุทิศชีวิตและร่างกายของท่านเพื่อพระพุทธศาสนาและเพื่อความสุขของบรรดาลูกหลานทุกคนที่มีความต้องการที่จะพ้นทุกข์และประสบความสุขของบรรดาลูกหลานทุกคนที่มีความต้องการที่จะพ้นทุกข์และประสบความสุขที่แท้จริง
วัดพระธาตุห้าดวง หรือ เวียงเจดีย์ห้าหลัง ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะองค์พระเจดีย์เป็นสัญลักษ์ที่สำคัญ จึงสมควรที่เราทั้งหลายจะได้ช่วยกันเทิดทูน และทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีก เพื่อประกาศความดีของรัตนะทั้งสาม ดังเช่นที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำมาแล้วในอดีต จะได้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของประวัติศาสตร์
แสดงให้ทราบว่าสถานที่นี้ได้เคยเป็นสถานที่ที่องค์พระประทีปแก้ว ได้เคยเสด็จมาส่องแสงจรัสจ้าเป็นประทีปส่องนำปัญญา ให้เราทั้งหลายได้เห็นอริยสัจ และบัดนี้เราท่านทั้งหลายได้มาช้วยกันทำให้ประทีปแก้วได้ส่องแสงเจิดจรัสอีกครั้ง เพื่อจะได้ประทีปส่องนำให้เราท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงที่ที่องค์ระประทีปแก้วทั้งหลายได้ส่องแสง เจิดจรัสจ้าสว่างอยู่ และอยู่อย่างนี้ไม่มีวันเสื่อมคลาย
" ลูกเอ๋ย…ลูกอย่าหลงไหลต่อไปเลย มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ปลดความรัดรึงในโลกเสียให้หมด ความสบายใจจะมีแก่ลูก
การที่เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ก็เพื่อจะให้รู้ว่า เราสร้างวีรกรรมที่ชาวโลกสรรเสริญไว้มาก การรบเก่งโลกยกย่อง แต่ตามกฏของกรรมกลับลงโทษเรา บางครั้งสุข บางคราวมีทุกข์ บางคนเราทำดีแก่เขา แต่เขาไม่เห็นความดี กรรมอย่างนี้มาจากสงครามเดิมเป็นผล กฏของกรรมตามสนอง
แต่ที่ลูกมีผลในด้านความเป็นอยู่พอสมควรก็เพราะผลของทาน ที่สร้างร่วมกับแม่และพ่อมา จึงช่วยพยุงตัวไม่ให้ล่มจม
การที่มีอายุยืนเพราะเหตุที่เกื้อกูลแก่พระศาสนา มีการรักษาศีล บำรุงพระพุทธศาสนาเป็นเหตุ ลูกจึงมีบุญเข้าถึงธรรมได้รวดเร็ว "
การดำเนินการประชุมปรึกษาหรือเพื่อให้ได้คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ชุดใหม่ ปีพ.ศ.2567 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลวังดิน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
นายเสน่ห์ จินาจันทร์ รักษาการประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดประชุมปรึกษาหารือเพื่อให้ได้มาซึ่งคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้(ชุดใหม่) เนื่องจากคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ชุดเดิมนั้นได้หมดวาระลงเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567
สภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ จัดประชุมสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๓๐ น.ณ หอประวัติศาสตร์เทศบาลตำบลวังดิน โดยมีนายเสน่ห์ จินาจันทร์ ทำหน้าที่ประธานการประชุม
การประชุมสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 ณ อาคารสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ตำบลลี้ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
นายเสน่ห์ จินาจันทร์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ได้ดำเนินการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ตามวาระการประชุม